วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระบบศักดินา(Feudalism)


 ระบบศักดินา(Feudalism)




วามหมายของระบบศักดินา(Feudalism)
                Feudalism มาจากคำว่า Fief แปลว่า “ที่ดินแปลงหนึ่ง” หมายถึงระบบการปกครองและโครงสร้างทางสังคมที่เน้นความสำคัญของกรรมสิทธิ์ที่ดิน การเป็นเจ้าของที่ดินเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสิทธิอำนาจทางการเมืองและสังคม หากปราศจากกรรมสิทธิ์ที่ดินบุคคลก็ไม่สามารถอ้างสิทธิทางการเมืองได้
                ระบบศักดินาจึงหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าที่ดิน ผู้เช่าที่ดินอาจเสียค่าเช่าเพียงเล็กน้อยแต่มีพันธะต่อจ้าของที่ดินหลายอย่าง เช่น การช่วยทำสงครามในกองทหารของเจ้าของที่ดินการช่วยเหลือเงินเมื่อลูกสาวของเจ้าของที่ดินแต่งงาน ฯลฯ เป็นต้น เจ้าของที่ดินก็ต้องคุ้มครองแก่ผู้เช่าเมื่อถูกปองร้ายหรือดูแลผลประโยชน์และบุตรธิดาของผู้เช่าที่ดินเมื่อเสียชีวิต
                ระบบศักดินามีลักษณะการกระจายอำนาจจากรัฐไปยังขุนนาง ขุนนางคนใดเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่และอุดมสมบูรณ์ก็จะมีอิทธิพลทางการเมืองมาก หากอำนาจรัฐอ่อนแออำนาจของขุนนางจะเข้มแข็งแทน ระบบศักดินาหมดไปเมื่อมีรัฐประชาชาติและการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางภายใต้สถาบันกษัตริย์
ความเป็นมาของระบบศักดินา
                กรุงโรมแตกหลังจาการโจมตีของอนารยชนเผ่าเยอรมัน 3 ครั้งในปี ค.ศ. 410   ค.ศ. 455  และ ค.ศ. 476 ผู้นำชาวเยอรมันเผ่าวิซิกอธ(The Visigoths) ได้ตั้งตัวเป็นประมุขและทำลายอารยธรรมทุกอย่างในดินแดนเหนือเทือกเขาแอลป์ จนความเจริญต่างๆ สูญสิ้นลงไปอย่างสิ้นเชิง
                ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6-8 ยุโรปกลาง เหนือและตะวันตกเป็นดินแดนที่มีการรบวุ่นวายจนกระทั่งระหว่างศตวรรษที่9-11จึงเกิดระบบการปกครองที่ผสมผสานอารยธรรมกรีกโรมันกอล(Gaul) และเยอรมันเข้าด้วยกัน กลายเป็นจารีตที่เน้นกรรมสิทธิ์ที่ดินและความผูกพันแบบสังคมกสิกรรมศักดินา(Feudal Agarian Society) ระหว่างชาวนา ทาสและเจ้าของที่ดินโดยมีศาสนาเป็นตัวเชื่อม

               ปัจจัยในการก่อตัวของระบบศักดินาแบ่งออกเป็น ประการ  คือ
                1.การรับจารีตการปกครองทางโลกมาจากโรมัน
                  ในยุคโรมันมีจารีตที่บุคคลต้องสวามิภักดิ์ต่อผู้มีอำนาจ  เพื่อรับความคุ้มครองและทำงานรับใช้เป็นการตอบแทน ความสัมพันธ์เช่นนี้อิสรชนเรียกว่า  “Patron  and  Client  relationship”  ในกรณีของทาสเรียกว่า “Master  and  Slave  relationship” 
                ความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งที่สืบจากสมัยโรมันคือเมื่อบุคคลเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน  เจ้าของที่ดินก็มีพันธะให้ความคุ้มครองผู้เช่า  ครั้นชาวกอลและชาวแฟรงค์ยึดครองจักวรรดิโรมัน  อารยชนทั้ง  2พวกก็รับจนรีตนี้ไว้ด้วยในยุคเสื่อมของจักวรรดิโรมัน  (คริสต์ศตวรรษที่  3-4)  เกิดปัญหาแรงงานเกษตรกรรม  ซึ่งเอื้อต่อระบบศักดินาในสมัยกลาง  ดังนี้
         -การสร้างอาณานิคมแรงงาน(The Colonate)  ซึ่งห้ามเกษตรกรหรือผู้เช่าที่ดินย้ายถิ่นฐาน  เพื่อประกันผลผลิตและป้องกันการอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่  ทำให้แรงงานเกษตรกรรมกลายเป็นทาสที่ดิน  (serf)  ภายใต้อำนาจของเจ้าที่ดิน
         -การเช่าที่ดินระยะยาว(The Precarium)  เกิดจากการที่กฎหมายยอมให้เกษตรกรซึ่งผิดสัญญาเช่าที่ดินถูกไล่ออกจากที่ดินได้  เจ้าที่ดินรายย่อยจึงยอมยกที่ดินให้เจ้าหนี้หรือเจ้าที่ดินรายใหญ่เพื่อแลกกับการคุ้ม ครอง  จึงเป็นที่มาของการตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าที่ดินจำนนต่ออำนาจส่วนกลาง  ในสมัยศักดินาส่วน กลาง  ในสมัยศักดินารุ่งเรืองเจ้าที่ดินจึงมีอำนาจเด็ดขาดเหนือประชาชนทั้งทางการบริหาร  กฎหมายและตุลาการ
                2.การรับรูปแบบการปกครองทางศาสนามาจากโรมัน
                   ระหว่างที่จักวรรดิโรมันตะวันออกและจักวรรดิโรมันตะวันตกนั้น  อำนาจของพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมทั้งด้านศาสนาและการเมืองมีสูงมาก  ทำให้รอดพ้นจากการถูกทำลายและสามารถพัฒนามาเป็นการปกครองคณะสงฆ์ มีการรักษาผลประโยชน์ของสถาบันศาสนาแบบ  “Benefice” คือ  จารีตการยกที่ดินของวัดให้เอกชนเช่า  โดยรับค่าตอบแทน  คือ  แรงงานและการเป็นทหารหรือยกผลผลิตให้แก่วัด

                   ราชวงศ์เมโรวินเจียนของชาวแฟรงค์และราชวงศ์ชาร์เลอมาญของเผ่าเยอรมันได้นำระบบBenefice ไปใช้ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยการให้สิทธิเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากที่ดินตอบแทนความชอบของอัศวิน เมื่อระบบกษัตริย์อ่อนแอที่ดินของกษัตริย์จึงถูกขุนนางยึดครอง   และนำมาสู่การริดรอนอำนาจสถาบันกษัตริย์ในสมัยกลาง         
3.โครงสร้างทางสังคมของอนารยชนเผ่าเยอรมัน
                   อนารยชนเผ่าเยอรมัน  หมายถึง  ชนเผ่ากอธ (วิซิกอธ และออสโตรกอธ)  เผ่าแฟรงค์  เผ่าแวนดัล  เผ่าติวตอนและเผ่าอเลมานนี  ซึ่งเชื่อเรื่องพันธะของญาติพี่น้อง (Bond  of  Kinship)  และเกียรติยศของบุคคลเมื่อถูกลบหลู่  โดยญาติจะแก้แค้นหรือเรียกร้องค่าเสียหายตามค่าตัว  ซึ่งกษัตริย์หรือผู้นำทัพจะไม่มีอำนาจเหนือ เผ่าพันธุ์  ยกเว้นการเป็นผู้นำในการรบอันเป็นลักษณะของการกระจายอำนาจ  และการเน้นความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมากกว่าความสัมพันธ์ต่อส่วนกลาง  ทำให้กฎหมายของชนเผ่าเยอรมันต่างจากกฎหมายโรมัน
                    ชาวเยอรมันเชื่อว่า  กฎหมายมิได้เกิดจากอำนาจหรือความปรารถนาของประมุขแต่เกิดจากธรรมเนียมของเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีเชื้อสายเดียวกัน  ต่างจากกฎหมายของโรมันที่บังคับกับคนทุกเผ่าพันธุ์ในจักวรรดิ  เมื่อชาวเยอรมันมาตั้งถิ่นฐานในยุโรปตะวันตกจึงใช้กฎหมายที่เน้นขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งบริวารต้องภักดี  ร่วมรบ  รับใช้และอุทิศแรงงานให้ผู้นำ  ส่วนผู้นำก็ต้องตอบแทนด้วยการให้ความคุ้มครอง  แนวคิดนี้ผสมกลมกลืนจนกลายเป็นระบบศักดินาในที่สุด 




    โครงสร้างของระบบศักดินาประกอบด้วยชนชั้นต่างๆ ได้แก่  กษัตริย์ (Suzerain/Overlord)   ขุนนางชั้นสูงและสวามิภักดิ (Lords/Vassals)   ชาวนาและขุนนางผู้น้อย   อัศวิน (Peasants/Knight)   และทาส (Serfs)
                    ตามทฤษฎีแล้วกษัตริย์เป็นเจ้าที่ดิน (Fief) ซึ่งไม่ขึ้นกับใคร  แต่ในทางปฏิบัติ  กษัตริย์อาจเป็นทั้ง Zuzerain  และ  Vassal  อาทิ กษัตริย์วิลเลียมผู้พิชิต  (ค.ศ. 1060-1087) ทรงเป็นทั้งดยุคแห่งนอร์มังดีของฝรั่งเศสและเป็นกษัตริย์อังกฤษ  ทรงมีขุนนางอังกฤษเป็นvassalsและมีฐานะเท่าเทียมกับกษัตริย์ฝรั่งเศส  แต่เมื่อเป็นยุคแห่งนอร์มังดีก็ต้องภักดีต่อกษัตริย์ฝรั่งเศส  ผู้พระราชทานแคว้นนอร์มังดีแก่บรรพบุรุษของพระองค์  ยกเว้น Duke  Charles  the  Bold  of  Burgandi (1467-1477 AD.) ที่ไม่ต้องเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีในฐาน Vassal  ของกษัตริย์ฝรั่งเศส  เนื่องจากทรงมีอำนาจมาก
                    Lords   คือขุนนางชั้นสูงซึ่งได้รับพระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดิน   มีอำนาจเหนือชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนผู้เช่าที่ดินของตน  Lords  ต้องจงรักภักดีต่อ  Suzerain  มิฉะนั้นพันธะที่มีต่อกันจะสิ้นสุดลง  และ  Suzerain  สามารถเรียกที่ดินกลับคืนได้  Lords ต้องเป็นทหารและให้คำปรึกษาให้แก่  Suzerain  นอก จากนี้จะต้องส่งเงินเป็นบรรณาการแด่  Suzerบรรลุนิติภาวะและทำพิธีเป็นอัศวิน  เมื่อธิดาองค์แรกของ Suzerain  แต่งงาน  และเมื่อ ain 3 กรณี  คือ  เมื่อโอรสองค์แรกของ  Suzerain  Suzerain  ถูกจับเรียกค่าไถ่สูงถือ
                    Subvassals   คือ  vassals  ของขุนนางชั้นกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่  Lord  มอบให้จึงต้องจงรักภักดีต่อ  Lord
                    Peasants  และ  Serfs  คือชาวนาและทาสที่ทำมาหากินบนที่ดินและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ  Suzerain/Lord  และ  Subvassals  ตามลำดับ
                    เจ้าที่ดินไม่สามารถขายที่ดินซึ่งชาวนาอิสระทำกินได้  แต่สามารถขายที่ดินซึ่งทาสทำกินได้  แม้  Lord   จะกดขี่ข่มเหงเพียงใดชาวนาหรือทาสก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจาก   Suzerain   ได้
                    ระบบศักดินาเป็นระบบโครงสร้างความสัมพันธ์ซึ่งยึดหลักการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของขุนนางเป็นพื้นฐานของการปกครอง  แต่  Suzerain   ไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองเหนือดินแดนทั้งหมดอย่างแท้จริง   ทรงมีอำนาจเด็ดขาดเฉพาะใน   Fiefs   หรือที่ดินที่มิได้ยกให้แก่ผู้ใดเท่านั้น    อาทิในคริสต์ศตวรรษที่   11-12  กษัตริย์ฝรั่งเศสทรงมีอำนาจเหนือกรุงปารีสและ   อิล  เดอ  ฟรองซ์  (Ile  de  France)   เท่านั้น  ส่วนดินแดนอื่นๆ  นั้นอยู่ใต้อำนาจของ  Lords  ทั้งหมด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น